Far Cry เกมแอ็คชั่นผจญภัยที่ใครๆก็รู้จัก

Far Cry เกมแอ็คชั่นผจญภัยที่ใครๆก็รู้จัก

Far Cry เกมแอ็คชั่นผจญภัยที่ใครๆก็รู้จัก เหล่าเกมเมอร์ยุคนี้ น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก เพราะชื่อเสียงที่ Far Cry 3 ได้สร้างเอาไว้ ทั้งเกมเพลย์ เนื้อเรื่อง ตัวร้ายของเกมที่ยอดเยี่ยม Far Cry กลายเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่นักเล่นเกมแนว Action Open-World น่าจะต้องนึกถึงเป็นชื่อแรก ๆ และ Far Cry 3 ก็ยังคงเป็นตำนานที่แม้ภาคใหม่ ๆ จะออกมา แฟน ๆ ก็ยังยกให้ภาค 3 เป็นหนึ่งในดวงใจเสมอมา วันนี้เรามาระลึกความหลัง ดู Far Cry กันว่าในแต่ละภาคนั้น มีจุดเด่นและความสนุกของมันอยู่ที่ตรงไหนกันบ้าง มาดูกันเลยครับ!!

1. Far Cry (2004) จุดเริ่มต้นของซีรีส์

Far Cry เปิดตัวภาคแรกในปี 2004 ที่ทุกวันนี้ยังคงหาเล่นได้บน Steam แต่ด้วยความที่อายุเกมมันมากกว่า 15 ปีแล้ว ใครที่ไปลองเล่นแล้วไม่สนุก ไม่อินไปกับตัวเกมก็จะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะตัวเกมมันมีความเป็นเกมยุคเก่าสูงมาก ไม่มีระบบฟื้นพลังชีวิต และเกมเพลย์การเล่นที่ดิบพอสมควร สิ่งที่เป็นจุดเด่นของ Far Cry ภาคแรก คือความเป็นเกมโลกเปิดของมัน ซึ่งในยุคปีนั้นยังถือว่าน้อยมาก ๆ ที่จะมีคนทำเกมแบบโลกเปิดแบบนี้ และ Far Cry ก็ทำออกมาได้ดี ถึงแม้จะไม่ได้ดีมากถึงที่สุด แต่นี่ก็คือจุดเริ่มต้นของแฟรนไชส์ Far Cry ที่เริ่มต้นได้สวย ผู้เขียนเองเคยมีโอกาสสัมผัสภาคนี้อยู่บ้าง ต้องย้ำอีกครั้งว่าความเก่าของมันอาจจะไม่ถูกใจเกมเมอร์รุ่นปัจจุบันเสียเท่าไร มันจะสนุก หรือไม่สนุก ผู้เล่นแต่ละคนต้องลองไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง

2. Far Cry 2 (2008) เอาใจสายฮาร์ดคอร์

4 ปีหลังจากการเปิดตัว Far Cry ภาคแรก Far Cry 2 ก็เปิดตัวมา พร้อมกับเส้นเรื่องที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับภาคแรกเลยสักนิด ภาคนี้ตัวเกมพาเรามายังพื้นที่เขตสงครามของโซนแอฟริกา บรรยากาศอันแห้งแล้ง เหมือนป่าเขตร้อน แถมตัวละครเอกของเราที่ติดเชื้อมาลาเรีย ทำให้เราทั้งต้องต่อสู้กับศัตรูและเอาตัวรอดไปพร้อม ๆ กัน

Far Cry 2 นะเสนอความดิบเถื่อน ค่อนไปทางความฮาร์ดคอร์อยู่เป็นส่วนมาก ระบบปืนขัดลำกล้อง การยกแผนที่ขึ้นมาดูสด ๆ น่าจะถูกใจแฟนเกมเป็นจำนวนมาก ภาคนี้เป็นอีกภาคที่คู่ควรแก่การลองหามาเล่นสักครั้ง แม้อายุเกมจะเกินสิบปีแล้ว ในส่วนของกราฟิกอาจจะไม่ใช่ที่สุด แต่ระบบเกมเพลย์การเล่น หากใครที่ชื่นชอบความท้าทาย ความดิบ ตรงนี้ Far Cry 2 จะตอบโจทย์คุณได้แน่นอน

3. Far Cry 3 (2012) โด่งดังไปทั่วโลก เพราะตัวร้ายที่น่าจดจำ

เชื่อว่าเกมเมอร์ทุกคนรู้จักชื่อ Far Cry ขึ้นมาก็เพราะภาคนี้แน่นอน และต้องบอกว่า Far Cry 3 นี่แหละ ที่ทำให้ผู้เขียนหันมารู้จักสิ่งที่เรียกว่า “เกมแท้” บน Steam สำหรับ Far Cry 3 สิ่งที่น่าจดจำ ไม่ใช่เนื้อเรื่อง ไม่ใช่พระเอก แต่กลับเป็นตัวร้ายที่ชื่อ Vaas ที่รับบทโดย Michael Mando นั่นเอง นอกจากจะโดดเด่นบนปกเกมแล้ว ทั้งการกระทำ ความจิตของมันถือว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ Far Cry 3 กลายเป็นที่พูดถึงไปทั่วโลก

ส่วนแฟน ๆ ชาวไทยก็อาจจะอินกับภูมิประเทศก็ภาคนี้ เพราะบรรยากาศมันช่างเหมือนกับหมู่เกาะทางใต้ของประเทศไทยเรามาก ๆ ทั้งที่พักอาศัย เหล่าสัตว์ต่าง ๆ รวมไปถึงฉากในเกมบางฉากยังมีภาษาไทยปนเข้าไปด้วย (ฉากเดียวเท่านั้น) บวกกับเกมเพลย์ที่เข้าถึงได้ง่ายมาก ไม่ยากจนเล่นแล้วเบื่อ แต่ก็ไม่ง่ายเกินไปจนเกมไม่สนุก ดังนั้นหากไม่ซีเรียสกับการต้องเล่นเกมแบบเก็บให้ครบทุกภาค Far Cry 3 เป็นภาคที่ผู้เขียนแนะนำให้ลองหามาเล่นที่สุดแล้วครับ แล้วคุณอาจจะรักซีรีส์ Far Cry ขึ้นมาเลยก็ได้

4. Far Cry 4 (2014) การสานต่อที่เร็วเกินไป

ดูเหมือนว่า Ubisoft จะรีบไปหน่อยกับการเข็นภาคต่อนี้ออกมา เพราะแม้ฉากหลังของเกมจะเป็นโลกที่เซ็ทขึ้นมาอย่างประเทศ Kyrat แต่นอกจากฉากหลังของเกมแล้ว เกมเพลย์ต่าง ๆ ล้วนเหมือนภาค 3 เกือบทั้งหมด มีเพียงบางอย่าง บางระบบเท่านั้นที่นำเอาระบบของภาค 3 มาต่อยอดให้เจ๋งขึ้น และที่สำคัญคือภาคนี้ ระบบการ Takedown เป็นอะไรที่โคตรเท่เอามาก ๆ

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ฉากหลังของเกมก็มีผลที่ทำให้เราอยากเล่นอยู่แล้ว แม้จะเกมเพลย์หลัก ๆ จะเหมือนเดิม แต่การเปลี่ยนสถานที่ที่เราได้ไปลุย ก็ทำให้เราติดพันกับเกมนี้ได้ไม่ยาก ภาคนี้ Ubisoft เขาก็ทำ Kyrat ออกมาได้สวยงามมากเสียด้วย แถมยังมีสัตว์ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างช้างให้ไปขี่และไล่กระทืบพวกศัตรูอย่างเมามันส์ Far Cry 4 อาจจะไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่มากนัก แต่สำหรับแฟนพันธุ์แท้ ภาคนี้ก็ไม่ใช่ที่เลวร้ายอะไรนักครับ

ส่วนตัวร้ายของภาคอย่าง Pegan Min ที่ถึงแม้จะดูดีมีเสน่ห์ แต่ก็ไม่เท่ากับ Vaas ซ้ำร้ายนั้นตัวเกมในภาคนี้ เมื่อเราเล่นจนจบเกมแล้ว เรากลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นตัวร้ายกันแน่ ใครที่เล่นมาแล้วจะรู้ว่า ฉากจบแบบพิเศษในช่วงต้นเกมนั้นแหละ เป็นวิธีจบเกมที่ดีที่สุดแล้วด้วยซ้ำ

5. Far Cry Primal (2016) ย้อนกลับไปยุค 10,000 ปีก่อนคริสตกาล

เป็นภาคพิเศษของเกมซีรี่ส์ Far Cry ที่เป็นเกมยิงแบบเน้นฉากที่กว้างใหญ่สไตล์ Open World แต่ภาคนี้มาในรูปแบบใหม่ที่ไม่เหมือนภาคก่อนๆ เพราะบอกลาอาวุธไฮเทคอย่างปืน แล้วย้อนกลับไปยุคอาวุธดึกดำบรรพ์รุ่นแรกอย่างอาวุธหินของยุคหิน กำหนดทำลงแพลตฟอร์ม PS4 และ Xbox one ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2016 ส่วนของ PC ภายในเดือนมีนาคม 2016

แม้จะเป็นภาคย้อนยุคแต่ ก็ตั้งใจทำให้ออกมายิ่งใหญ่ ด้วยการรวมทีมถึง 4 ทีมมาสร้างเกมนี้เกมเดียวคือ Ubisoft Montréal, Ubisoft Toronto, Ubisoft Shanghai Studio และ Ubisoft Kiev Studio เพื่อสร้างสรรค์โลกยุค 10,000 ปีก่อนคริสตกาล ยุคที่มนุษย์แสวงหาหนทางอยู่จุดสูงสุดแห่งห่วงโซ่อาหาร ด้วยการพัฒนาอาวุธและเครื่องมือเครื่องใช้จากไม้และหิน นำไปใช้ล่าสัตว์ร้ายในอดีต แต่มันไม่ใช่ง่ายๆเลย

6. Far Cry 5 (2018) เยือนดินแดนอเมริกา

ในภาคที่ 5 อาจไม่ใช่ภาคที่เปลี่ยนแปลงไปมากแบบก้าวกระโดดเช่นกัน แต่สิ่งที่ทำให้มันน่าสนใจ คือตัวเกมกลับมาดำเนินเรื่องบนแผ่นดินอเมริกาแล้ว หลังจาก 4 ภาคแรก แทบไม่มีการเดินเรื่องในประเทศอเมริกาเลย แถมศัตรูในภาคนี้ก็เป็นลัทธิศาสนา ล้างสมองคนอีกด้วย ทำให้มันดูใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด และสิ่งที่พัฒนาขึ้นไปอีกในภาคนี้ คือส่วนของกราฟิก ที่ยิ่งทำยิ่งสวย และในภาคนี้ก็ยังคงความสวยงามไว้ บวกกับการออปติไมซ์ที่ทำออกมาได้ดีมาก ถ้าคุณเล่นภาค 4 ได้ คุณก็ยังเล่นภาค 5 ได้แบบสบาย ๆ เช่นกัน

แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือความโอเวอร์จากภาค 4 ที่ถูกลดทอนลง และภาคนี้ยังเริ่มมีระบบวิถีกระสุนที่หลายคนอาจจะไม่ชินนัก แต่ก็เพราะเราไม่ได้ยิงคนที่หลบหลีกเก่งขนาดนั้น เป็นเพียง A.I. ดังนั้นระบบนี้ใช้การปรับตัวเพียงนิดหน่อยก็น่าจะได้แล้ว นอกจากนั้นภาคนี้ใครที่ชอบเถลไถล ออกนอกลู่นอกทางก็อาจจะต้องขัดใจนิดหน่อย เพราะมีระบบสะสมแต้ม และเมื่อแต้มถึงตัวเกมก็จะบังคับเข้าสู่ภารกิจเนื้อเรื่องโดยทันที ทำให้ทุกคนจะจบเกมในระยะเวลาที่เท่า ๆ กัน

นอกจากนั้นใน Far Cry 5 นี้มันยังได้สร้างตอนจบสุดปวดตับที่ไม่ว่าจะจบแบบไหน ผู้เล่นก็จะหน่วงไปกับทุกเหตุการณ์ในตอนจบแน่ ๆ เป็นภาคที่ผมอยากให้ลองเล่นดูจริง ๆ ครับ

7. Far Cry 6 (2021) เรื่องราวการปฏิวัติสุดเข้มข้น

Yara ประเทศหมู่เกาะสมมุติในแถบทะเลแคริบเบียน ที่ถูกปกครองด้วย Antón Castillo เผด็จการผู้ประกาศกร้าวจะพายารากลับไปเป็นแผ่นดินที่งดงามอีกครั้ง (คุ้นๆ นะ) ด้วยการชูนโยบาย Viviro พืชที่หาได้เฉพาะบนเกาะนี้ที่ถูกอ้างสรรพคุณว่าสามารถ ‘รักษามะเร็ง’ ได้ แต่ชาวโลกจะรู้ไหมว่ากว่าจะได้ยาเเต่ละลอตนั้น ต้องเเลกกับการถูกกดขี่ เเละ ชีวิตของประชาชน  เเละคุณ “ดานี่ โรฮาส” อดีตทหารยารันที่ต้องการจะหนีออกนอกประเทศแต่จับพลัดจับผลู กลับต้องมาจับปืนสู้เคียงคู่กับกองโจร “ลิเบอร์ตาด” เพื่อแลกกับเรือเพื่อใช้หนีจากไปจากยาราอีกครั้ง

เนื้อเรื่องในภาคนี้หลายคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าประเด็นการเมืองที่ใส่มานั้น “เบาและบางเกินไป” โดยส่วนตัวคิดว่าประเด็นการเมืองที่สอดแทรกไปในเกมนั้นถือว่า “ละเอียดและหนักแน่นมาก” เพียงแต่โดนความเป็น FAR CRY บดบังไปเสียหมด หากสังเกตกันดีๆ บทพูดของ NPC แม้แต่เอกสารในเกมก็มีการสอดแทรกประเด็นการเมืองเต็มไปหมด ยกตัวอย่างก็คือ ค่านิยม 12 ประการ เอ้ย! ข้อปฏิบัติสำเร็จชาวยารันแท้ 13 ประการ หรือเวลาที่เราเข้าไปในเขตเมืองหลวง เมื่อเข้าไปพูดคุยกับ NPC ที่สนับสนุน Antón Castillo แล้ว เวลาเขาพูดถึงกองโจรเกอริญ่า ก็มักจะพูดถากถางแดกดันใส่เรา แบบเดียวกันเปี้ยบทั้งที่จริงๆ แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำละเอียดก็ได้ แถมฉากโหแบบที่เผด็จการเขาทำกันอยากการประหัตประหารกันกลางเมือง การใช้สารพิษกวาดล้างกล่มต่อต้าน รวมถึงเอาลูกเกลี้ยงยัดปากกันก็มี

อ้างอิงบทความจาก

www.gamingdose.com , mgronline.com , www.sanook.com

ขอบคุณรูปภาพจาก

ubisoft.com , www.techradar.com , www.level1games.com.br , store.steampowered.com